ประวัติจังหวัดสตูล
ประวัติ ความเป็นมาของจังหวัดสตูลในสมัยก่อนกรุง ศรีอยุธยา และในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวไว้ ณ ที่ใด สันนิษฐานว่าในสมัยนั้น ไม่มีเมืองสตูล คงมีแต่หมู่บ้านเล็ก ๆ กระจัดกระจายอยู่ตามที่ราบชายฝั่งทะเล
ใน สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สตูลเป็นเพียงตำบลหนึ่งอยู่ในเขตเมืองไทรบุรี ฉะนั้นประวัติความเป็นมาของจังหวัดสตูล จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเมืองไทรบุรี ดังปรากฎในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ว่า "ตาม เนื้อความที่ปรากฏดังกล่าวมาแล้ว ทำให้เห็นว่าในเวลานั้น พวกเมืองไทรเห็นจะแตกแยกกันเป็นสองพวก คือ พวกเจ้าพระยาไทรปะแงรันพวกหนึ่ง และพวกพระยาอภัยนุราชคงจะนบน้อมฝากตัวกับเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเมื่อพระยาอภัยนุราชได้มาเป็นผู้ว่าราชการเมืองสตูล ซึ่งเขตแดนติดต่อกับเมืองนครศรีธรรมราช พวกเมืองสตูลคงจะมาฟังบังคับบัญชาสนิทสนมข้างเมืองนครศรีธรรมราชมากกว่า เมืองไทร แต่พระยาอภัยนุราชว่าราชการเมืองสตูลได้เพียง ๒ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรม ผู้ใดจะได้ว่าราชการเมืองสตูล ต่อมาในชั้นนั้นหาพบจดหมายเหตุไม่ แต่พิเคราะห์ความตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เข้าใจว่าเชื้อพระวงศ์ของพระอภัยนุราช (ปัศนู) คงจะได้ว่าราชการเมืองสตูลและฟังบังคับบัญชาสนิทสนมกับเมืองนครศรีธรรมราช อย่างครั้งพระยาอภัยนุราชหรือยิ่งกว่านั้น"
เรื่อง เกี่ยวกับเมืองสตูลยังปรากฎในหนังสือพงศาวดาร เมืองสงขลา แต่ข้อความที่ปรากฎบางตอนเกี่ยวกับชื่อผู้ว่าราชการเมืองสตูล ไม่ตรงกับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ประวัติเกี่ยวกับเมืองสตูลในการจัดรูปแบบการปกครองเมือง ตามระบอบมณฑลเทศาภิบาลว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รักษาเมืองไทรบรี เมืองเปอร์ลิส และเมืองสตูลเป็นมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า "มณฑลไทรบุรี" โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาไทรบุรีรามภักดี เจ้าพระยาไทรบุรี (อับดุลฮามิต) เป็นข้าราชการเทศาภิบาลมณฑลไทรบุรี เมืองสตูลได้แยกจากเมืองไทรบุรีอย่างเด็ดขาด ตามหนังสือสัญญาไทยกับอังกฤษเรื่องปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับสหพันธรัฐมาลา ยู ซึ่งลงนามกันที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ร.ศ.๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๒) จากหนังสือสัญญานี้ยังผลให้ไทรบุรีและปลิสตกเป็นของอังกฤษ ส่วนสตูลคงเป็นของไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อ ปักปันเขตแดนเสร็จแล้ว ได้มีพระราชโองการโปรดให้เมืองสตูลเป็นเมืองจัตวารวมอยู่ในมณฑลภูเก็ต เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ร.ศ.๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๓)
ใน ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย เมืองสตูลก็มีฐานะยกเป็นจังหวัดหนึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทยสืบต่อมาจนถึง กระทั่งทุกวันนี้
คำว่า"สตูล" มาจากคำภาษามาลายูว่า "สโตย" แปลว่ากระท้อน อันเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ชุกชุมในท้องที่เมืองนี้ ซึ่งต่อมาได้รับการตั้งสมญานามเป็นภาษามาลายูว่า "นคร สโตยมำบังสการา (Negeri Setoi Mumbang Segara) " หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า สตูล เมืองแห่งพระสมุทรเทวา ดังนั้น "ตราพระสมุทรเทวา" จึงกลายเป็นตราหรือสัญลักษณ์ของจังหวัดมาตราบเท่าทุกวันนี้
จังหวัด สตูล แม้จะอยู่รวมกับไทรบุรีในระยะเริ่มแรกก็ตาม แต่จังหวัดสตูลก็เป็นจังหวัดที่มีดินแดนรวมอยู่ในประเทศไทยตลอดมา ระยะแรก ๆ จังหวัดสตูล แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๒ อำเภอ กับ ๑ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอมำบัง อำเภอทุ่งหว้า และกิ่งอำเภอละงู ซึ่งอยู่ในการปกครองของอำเภอทุ่งหว้า ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอมำบังเป็นอำเภอเมืองสตูล สำหรับอำเภอทุ่งหว้า ซึ่งในสมัยก่อนนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก มีเรือกลไฟจากต่างประเทศติดต่อ ไปมาค้าขายและรับส่งสินค้าเป็นประจำ สินค้าสำคัญของอำเภอทุ่งหว้า คือ "พริกไทย" เป็นที่รู้จักเรียกตามกันในหมู่ชาวต่างประเทศว่า"อำเภอสุไหวอุเป " ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๗ การปลูกพริกไทยของอำเภอทุ่งหว้าได้ลดปริมาณลง ชาวต่างประเทศที่เข้ามาทำการค้าขายต่างพากันอพยพกลับไปยังต่างประเทศ ราษฎรในท้องที่ก็พากันอพยพไปหาทำเลทำมาหากินในท้องที่อื่นกันมาก โดยเฉพาะได้ย้ายไปตั้งหลักแหล่งที่กิ่งอำเภอละงูมากขึ้น ทำให้ท้องที่กิ่งอำเภอละงูเจริญขึ้นอย่างรวมเร็ว และในทางกลับกัน ทำให้อำเภอทุ่งหว้าซบเซาลง
ครั้ง ถึง พ.ศ. ๒๔๗๓ ทางราชการพิจารณาเห็นว่ากิ่งอำเภอละงูเจริญขึ้น มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นกว่าอำเภอทุ่งหว้า จึงได้ประกาศยกฐานกิ่งอำเภอละงูเป็นอำเภอ เรียกว่า อำเภอละงู และยุบอำเภอทุ่งหว้าเดิมเป็นกิ่งอำเภอทุ่งหว้า เรียกว่า กิ่งอำเภอทุ่งหว้า ขึ้นอยู่ในการปกครองของอำเภอละงู ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ กิ่งอำเภอทุ่งหว้าจึงได้รับสถานะเดิมกลับคืนมาเป็นอำเภอทุ่งหว้า
ปัจจุบันจังหวัดสตูล แบ่งการปกครองออกเป็น ๖ อำเภอ ๑ กิ่งอำเภอ คือ
๑. อำเภอเมืองสตูล
๒. อำเภอละงู
๓. อำเภอควนกาหลง
๔. อำเภอทุ่งหว้า
๕. อำเภอควนโดน
๖. อำเภอท่าแพ
๗. อำเภอมะนัง
|
|
ธงประจำ จังหวัดสตูล
คำ ขวัญประจำจังหวัด: "สตูล สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์" |
|
ดอกไม้ ประจำจังหวัด: " ดอกกาหลง"
เดิมคือดอก กระดังงา ตามความคิดของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์(ตุ๋น บินอับดุลลาห์)โดยมีเหตูผลตามคุณสมบัติคือ
|
๑ กลีบดอกสวยงาม ๒ ก้านดอกแข็งแรงทนทานไม่ร่วงลงดินง่าย ๓ กลิ่นหอมจัดทวนลม ๔ ทำบุหงารำไปได้ดีกว่าดอกไม้ชนิดอื่นในท้องถิ่น |
แต่ก็ถูกเปลี่ยนตามความคิดของหัวหน้าส่วนราชการในการประชุม คราวเดียวกับการเปลี่ยนต้นไม้ประจำเมือง
|
หัวหน้าส่วนบางคนที่เป็นคนจังหวัดสตูลก็คัดค้านแต่ผลสุด
ท้ายก็ถูกเปลี่ยนเป็นดอกกาหลงมาจนทุกวันน ี้ทั้งข้อ ๑ และ ๒
ไม่มีหลักฐานอ้างอิงเป็นทางการ แต่เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป
ในสมัยนั้นทั่วทั้งเมืองจะมีต้นกระดังงา(ไทย) งอกงามหลายจุด เช่น
หลังมัสยิดอากีบี หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลและกระดังงาจีน(กลีบหนา)
ก็มีการปลูกกันทั่วไปเช่นเดียวกับต้นสายหยุด ซึ่งยังนิยมปลูกจนทุกวันนี้
สำหรับเอกสารอ้างอิงคงสูญหายหรือไม่มีใครเก็บไว้ แต่ประชาชนทั่วไปทราบดี
ส่วนดอกกาหลงนั้นไม่มีใครรู้จักโดยเฉพาะคนสตูลดั้งเดิม
|
|
ต้นไม้ ประจำจังหวัด: ต้นหมากพลูตั๊กแตน |
เนื่องจากชื่อสตูล เพี้ยนมาจากภาษามาลายู คือ “Setol”หรือ “Setul” จากรากศัพท์ ภาษากรีก “Santul” แปลว่า “กระท้อน”
|
ผลไม้ลือชื่อของไทย |
ในสมัย นายหิรัญ ศิษฎิโกวิท เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล หัวหน้าส่วนป่าไม้ร่วมกับสรรพากรจังหวัดได้เสนอเปลี่ยนต้นไม้
|
ประจำเมืองในที่ประชุมประจำเดือนหัวหน้าส่านโดยกำหนดต้น
กระซิกหรือมากพลูตั๊กแตนเป็นตัวตั้ง แต่มีผู้คัดค้าน มติวันนั้นจึงไม่มี
แต่ต่อมาจังหวัดมีหนังสือเวียนพร้อมชื่อต้นไม้หลายชนิดถึงหัวหน้าส่วนให้
เลือกต้นไม้ที่ควรเป็นต้นไม้ประจำเมืองแทนต้นกระท้อน
|
ปรากฏว่ามีผู้เลือกต้นกระซิกมากกว่าต้นไม้ชนิดอื่น “ต้นกระซิก”
จึงกลายเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสตูลตั้งแต่บัดนั้น
ซึ่งชาวสตูลที่ได้รับการศึกษาและเป็นคนดั้งเดิมยังคงความแปลกใจมาจนทุก
วันนี้
|
สี้ประจำจังหวัด: เขียว - เหลือง
|
ปรากฏมาแต่ดั้งเดิมที่ผู้รู้บอกว่าเป็นสีของการศึกษา จึงใช้เป็นสีประจำของโรงเรียนประจำจังหวัดด้วย ตามที่ได้ยินมานั้น
|
จะเห็นได้ว่าสีเขียวมีความหมายถึงความเขียวขจีของพฤกษาโดย
ทั่วไปดูร่มรื่น ร่มเย็น อันหมายถึงความสงบร่มเย็นเป็นสุขของชาวสตูล
ส่วนสีเหลืองนั้นหมายถึง สีของกษัตริย์
หรือเจ้าเมืองซึ่งได้ทำประโยชน์แก่ท้องถิ่นนี้มาโดยตลอด
แต่มาภายหลังมีผู้ให้ความหมายเพิ่มเติมว่าเป็นสีแห่งธรรมะ
ทั้งพุทธและอิสลาม ซึ่งอยู่รวมกันอย่างสมานฉันท์ตั้งแต่บรรพกาล
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น